ในยุคดิจิทัล เจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่ก็ได้หันมาทำการตลาดออนไลน์ โดยผ่านทางเว็บไซต์ และช่องทาง Social media ต่าง ๆ ผสมผสานกัน หลายคนมีทั้งเว็บไซต์และ Facebook Page ของธุรกิจ และแน่นอนว่าหลายคนก็เคยยิงโฆษณาจากบน Facebook ให้เข้าไปที่หน้าเว็บไซต์ของธุรกิจ เพื่อให้ลูกค้าเข้าไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติม หรือเข้าไปซื้อสินค้าในเว็บไซต์

แต่การยิงโฆษณาเหล่านั้นก็อาจจะเสียเปล่า หรือไม่คุ้มค่าเท่าที่ควร หากเราไม่ได้ติด Facebook Pixel เพราะเราจะไม่สามารถเก็บข้อมูลหรือติดตามการกระทำของลูกค้าบนเว็บไซต์ของเราได้เลย ว่าสุดท้ายแล้วเขาซื้อสินค้าของเราหรือไม่

Facebook Pixel คืออะไร

Facebook Pixel คือชุด Code ที่เรานำไปติดในหน้าหลังบ้านของเว็บไซต์ ในส่วนของ Head เพื่อใช้ติดตามการกระทำต่าง ๆ ของคนที่เข้ามายังเว็บไซต์ของเรา ชุด code นั้นก็จะมีหลายชนิดให้เราติด ทั้ง Code หลักที่เราจะติดทุกหน้าเว็บไซต์ เพื่อดูว่ามีคนเข้ามาดูเว็บไซต์ของเราจำนวนเท่าไหร่ และ Standard Events ต่าง ๆ ที่ติดเพิ่มต่อจากชุด Code หลัก เพื่อ Track การกระทำที่เฉพาะเจาะจง ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการที่จะ Track อะไร เช่น Search, View Content, Add to Cart, Add to Wishlist, Initiate Checkout, Add Payment Info, Purchase, Lead และ Complete Registration หลังจากติดตั้ง Standard Events ต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว เราก็สามารถสร้าง Custom Conversion เพื่อ Track Event นั้น ๆ ต่อไปได้

Standard Events ที่หลากหลายนั้นมีขึ้นเพื่อให้สามารถแบ่งการ Track ได้อย่างละเอียด เช่น Complete Registration เป็น Code ที่เราจะนำไปติดในหน้า Thank You บนเว็บไซต์ เพื่อดูว่ามีคนซื้อของเราสำเร็จไปกี่รายแล้ว เป็นต้น

การติด Facebook Pixel นั้นควรติดก่อนที่เราจะเริ่มทำโฆษณาบน Facebook ส่วนวิธีการติดตั้ง Facebook Pixel นั้น Facebook ก็มีการบอกวิธีอย่างละเอียดใน Ads Help Center สิ่งสำคัญหลังจากที่เราติด Pixel แล้ว ต้องไม่ลืมเช็กทุกครั้งว่า Pixel ของเราติดตั้งสำเร็จหรือไม่ โดยใช้Facebook Pixel Helper ซึ่งติดตั้งง่าย ๆ โดยไป Add Extension ใน Chrome เพิ่ม

ประโยชน์ของ Facebook Pixels

เจ้าของธุรกิจที่ทำโฆษณา Facebook แล้วลิ้งค์ไปที่เว็บไซต์เป็นหลัก ควรติด Facebook Pixel เพราะจะสามารถใช้ประโยชน์จากการติด Facebook Pixel ได้ในอนาคต เช่น

ทำ Retargeting จาก Custom Audience ได้ โดยกำหนดจากผู้ที่มาชมเว็บไซต์ หรือสร้าง Custom Audience จาก Event ต่าง ๆ เช่น กลุ่มคนที่เข้ามาดูเว็บไซต์เรา คนที่กด Add to Cart และคนที่ Complete Purchased เมื่อได้คนกลุ่มนี้มาเราสามารถนำมาใช้ทำ Retargeting ได้ โดยการใช้กลุ่ม Custom Audience เหล่านี้เป็นกลุ่มเป้าหมายของเราในการยิงโฆษณา เช่น เราเก็บกลุ่มคนที่ Add to Cart แต่ไม่ซื้อ แล้วใช้โฆษณาที่มี Message ใหม่หรือมีโปรโมชั่นพิเศษ ยิงไปยังกลุ่มนี้เพื่อเป็นการกระตุ้นให้มาซื้อได้

นอกจากนี้เรายังสามารถ สร้าง Lookalike Audience จาก Custom Audience ได้อีกด้วย Lookalike Audience คือกลุ่มคนที่มีความคล้ายคลึงใกล้เคียงกับ Source ของเรา เราสามารถเลือกได้ว่าเราจะเอา Custom Audience อันไหนมาทำ Lookalike Audience ส่วนใหญ่จะเริ่มจากเอาคนที่เข้ามาชมเว็บไซต์ เพราะจะเป็น Source ที่มีปริมาณมากที่สุด เมื่อเทียบกับกลุ่ม Custom Audience อื่น ๆ

และเรายังสามารถวัดผลจาก Facebook Analytics ได้ หลังจากการติด Pixel แล้ว เราสามารถเข้าไป Track ข้อมูลผู้ที่เข้ามายังเว็บไซต์ของเราได้จากเครื่องมือที่ชื่อว่า Facebook Analytics เครื่องมือนี้จะทำให้เราสามารถ Track พฤติกรรมเชิงลึกได้ คล้ายกับ Google Analytics แต่จะต่างกันเพราะ Facebook Analytics จะวัดข้อมูลจากแพลตฟอร์ม Facebook โดยตรง ถ้าเรามี Pixel หลายตัว เราก็สามารถเลือกได้ว่าเราจะดูข้อมูลจากตัวไหน

นี่เป็นเพียงข้อมูลและประโยชน์เบื้องต้นของ Facebook Pixel ยังมีความรู้เชิงลึกอีกมากให้ผู้ที่สนใจทำโฆษณาออนไลน์ศึกษาต่อไป เพราะในโลกออนไลน์นั้นความรู้ใหม่ ๆ ให้อัปเดตทุกวัน