ยิง Ads ให้โดนเป้าหมาย ด้วย Facebook Retargeting Ads

ยิง Ads ให้โดนเป้าหมาย ด้วย Facebook Retargeting Ads

การตลาด

GlobalLinker Staff

GlobalLinker Staff

246 week ago — ใช้เวลาอ่าน 5 นาที

 

Facebook Retargeting คืออะไร

 

การทำ Facebook Retargrting นั้นก็เหมือนกับการทำ Remarketing บนแพลตฟอร์มอื่น เพียงแค่ชื่อเรียกแตกต่างกัน คือการยิงโฆษณาไปยังคนที่เคยเห็นเราหรือรู้จักเราแล้ว ให้เห็นโฆษณาซ้ำ เพื่อกระตุ้นให้เกิดความสนใจ เกิดการติดต่อสอบถาม หรือซื้อสินค้าของเรา

 

การจะทำ Retargrting นั้น ต้องเริ่มจากการเก็บ Custom Audience หรือผู้ชมก่อน ทำได้หลายวิธี On-Facebook และ Off-Facebook ดังนี้

 

  • เก็บ Website Traffic เป็นวิธีการดั้งเดิม คือเก็บ Audience จากคนที่เข้าไปในเว็บไซต์ การนำ Facebook Pixel Code จากหน้าหลังบ้าน Facebook Business Manager ไปติดบนหน้าเว็บไซต์ของคุณ โดยที่ Code จะมีตั้งแต่ Page View หรือการเก็บผู้เข้าชมเว็บไซต์ ไปจนถึง Completed Registration หรือคนที่ทำการซื้อสินค้าของเราเรียบร้อยแล้ว ข้อดีคือสามารถเก็บ Audience แยกเป็นกลุ่มได้ชัดเจน แต่วิธีนี้จะทำได้ก็ต่อเมื่อเรามีเว็บไซต์

 

  • อัพโหลด Customer File วิธีนี้ใช้ได้สำหรับธุรกิจที่มีลิสต์อีเมล หรือเบอร์โทรศัพท์ลูกค้าอยู่แล้ว และต้องมีจำนวนอย่างต่ำ 100 รายขึ้นไป

 

  • App Activity คล้ายกับการเก็บ Website Traffic แต่ใช้สำหรับธุรกิจที่มี Application

 

  • Retarget จาก Facebook Fanpage หรือคนที่กดไลค์เพจเรา แต่ก็จะเป็นคนกลุ่มเดิมซ้ำ ๆ ไม่มีความหลากหลาย อาจทำให้ลูกเพจเราเกิดความรำคาญได้ ถ้าเห็นโฆษณาบ่อยเกินไป

 

จะเห็นว่าการ Retargeting ด้วยวิธีการเหล่านี้ต่างก็มีข้อจำกัด ทั้งในเรื่องความซับซ้อนในการทำ และความพร้อมของเจ้าของธุรกิจ Facebook จึงออกฟีเจอร์ การ Retargeting จาก Engagement บนเพจ เพื่อให้การ Retargting ทำได้ง่ายขึ้น และมีความหลากหลายมากขึ้น

 

การทำ Facebook Retargeting ด้วย Engagement

 

การทำ Retargeting ด้วย Engagement บน Facebook คือ การยิงโฆษณาไปหาคนที่มี Engagement กับเพจเราบน Facebook หรือ Instagram สามารถทำได้อย่างไรบ้าง

 

  1. Video Engagement คือการเก็บ Audience จากคนที่เข้ามาดูวิดีโอของเรา สามารถเลือกเก็บ Audience จากระยะเวลาที่ใช้ดูวิดีโอได้ ตั้งแต่ คนที่ดูวิดีโอเราไปอย่างน้อย 3 วินาที ไปจนถึง คนที่ดูวิดีโอเราไป 95% ของความยาวทั้งหมด ซึ่งเราควรดูว่า Key Message ที่สำคัญของเราอยู่ในวิดีโอช่วงไหน แต่แนะนำว่าควรเก็บคนที่ดูวิดีโอตั้งแต่ 50% ขึ้นไป เพราะแปลว่าคนนั้นมีความสนใจพอสมควร และเราสามารถเลือกเก็บรวบรวมคนที่ดูวิดีโอ ย้อนหลังกลับไป 365 วัน แต่ในการใช้จริงไม่ควรเก็บย้อนหลังไปนานขนาดนั้น เพราะผู้ชมอาจจะหมดความสนใจแล้ว เก็บย้อนหลังเพียง 180 วันก็เพียงพอ เมื่อเก็บ Audience ได้แล้ว ก็นำมาใช้เป็น Target ในการยิงโฆษณาสู้เป้าหมายต่อไป

 

  1. Lead Form คือการเก็บ Audience จากคนที่คลิกโฆษณา Lead Ads ของเรา เลือกได้ทั้งคนที่เข้ามากรอกฟอร์ม และคนที่เปิดฟอร์มแต่ยังไม่ได้กรอก ซึ่งไม่แนะนำให้เลือกอย่างหลัง เพราะอาจจะมีความสนใจไม่เพียงพอ สามารถเก็บผู้ชมย้อนหลังได้สูงสุด 90 วัน

 

  1. Instant Experience Engagement คือการเก็บ Audience จากคนที่เปิดโฆษณาแบบ Canvas หรือคนที่คลิกลิงค์ใดลิงค์หนึ่งบนโฆษณาแบบ Canvas สามารถเลือกเก็บผู้ชมได้สูงสุด 365 วัน

 

  1. Facebook Page Engagement สามารถทำได้ง่ายที่สุดกว่า 3 ข้อแรก คือ เก็บ Audience ได้จากคนที่เข้าชมเพจเรา คนที่มี Engagement กับโพสต์หรือโฆษณาของเรา คนที่กดปุ่ม Call to Action และคนที่ส่งข้อความเข้ามายังเพจของเรา ซึ่งข้อหลังสุดคือเก็บ Audience จากคนที่ส่งข้อความเข้ามา จะได้ประสิทธิภาพมากที่สุด ในกรณีที่เพจเรามีคนส่งข้อความเข้ามาติดต่อสอบถามเยอะ และปิดการขายผ่านทาง Facebook Message เป็นหลัก สามารถเลือกเก็บผู้ชมย้อนหลังได้สูงสุด 365 วัน แต่ก็ควรเลือกวันย้อนหลังน้อยกว่านั้น สัก 180 วันก็เพียงพอ

 

  1. Instagram Engagement จะเหมือนกันกับข้อที่ 4 ต่างกันแค่เพียงเปลี่ยนจาก Facebook เป็น Instagram ขั้นแรกเราต้องทำให้ Instagram ของเราเป็นบัญชีธุรกิจ และเชื่อมต่อกับ Facebook Page ของเราอีกที เท่านี้เราก็จะสามารถเก็บคนที่เคยเข้ามาดูโปรไฟล์เรา คนที่เคยมี Engagement กับโพสต์หรือโฆษณาของเราบน Instagram และ ส่งข้อความเข้ามาคุยกับเรา เหมือนกับข้อที่ 4 ทุกประการ

 

  1. Event Engagement ใช้ในกรณีที่เราเคยกดสร้าง Event ขึ้นมาในเพจเรา เราสามารถเก็บ Audience จากที่เข้ามาชมหน้า Event กด Interested และกด Going เป็นต้น เราควรเลือกเก็บคนที่กด Going เพราะถือว่ามีความสนใจมากพอที่จะไปงาน Event ของเรา เลือกเก็บผู้ชมย้อนหลังได้สูงสุด 365 วัน เราสามารถนำ Audience กลุ่มนี้ไปใช้กับการโฆษณา Event ครั้งหน้า หรือ Event ที่มีความใกล้เคียงกับ Event ปัจจุบันได้

 

การเก็บ Custom Audience นั้นไม่ได้มีประโยชน์แค่ในการทำ Retargeting เท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปต่อยอดทำ Lookalike Audience หรือใช้ในการทำ A/B Testing เทียบกับกลุ่มเป้าหมายแบบ Core Audience ได้อีกด้วย

 

 

Comments